บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤศจิกายน, 2023

พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารได้เอง

รูปภาพ
  ในระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิตสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ สิ่งมีชีวิตสร้างอาหารเอง (producer) และสิ่งมีชีวิตกินอาหาร (consumer) สิ่งมีชีวิตสร้างอาหารเองสามารถสังเคราะห์สารอินทรีย์จาก สารอนินทรีย์โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์หรือสารเคมี เรียกว่า กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ส่วนสิ่งมีชีวิตกินอาหารไม่สามารถสังเคราะห์อาหารเองได้ จำเป็นต้องกินอาหารจากสิ่งมีชีวิตสร้างอาหารอื่น ๆ เป็นแหล่งพลังงาน พืชเป็นสิ่งมีชีวิตสร้างอาหารเองที่พบได้มากที่สุดในโลก พืชสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้โดยใช้สารอินทรีย์จากสารอนินทรีย์ ได้แก่ น้ำ (H2O) และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ 6H2O + 6CO2 → C6H12O6 + 6O2 จากสมการจะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงคือ น้ำตาลกลูโคส (C6H12O6) และแก๊สออกซิเจน (O2) น้ำตาลกลูโคสเป็นสารอินทรีย์ที่พืชสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานและวัตถุดิบในการสร้างสารประกอบอินทรีย์อื่น ๆ ได้ ส่วนแก๊สออกซิเจนถูกปล่อยสู่บรรยากาศ นอกจากพืชแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตสร้างอาหารเองอีกกลุ่มหนึ่ง คือ แบคท

ทำไมเราถึงต้องให้กรดอะมิโนเพิ่มกับพืช ?

รูปภาพ
  กรดอะมิโนเป็นสารประกอบทางชีวโมเลกุลที่มี หมู่ฟังก์ชันอะมิโนและคาร์บอกซิลเป็นส่วนประกอบ กรดอะมิโนเป็นองค์ประกอบสำคัญของโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยเฉพาะพืช พืชสามารถสร้างกรดอะมิโนได้เองบางส่วน แต่บางชนิดก็ไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ หรือสร้างขึ้นได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช การให้กรดอะมิโนเพิ่มกับพืชจึงมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้ เร่งการเจริญเติบโตของพืช  กรดอะมิโนเป็นสารตั้งต้นในการสร้างโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช การให้กรดอะมิโนเพิ่มกับพืชจึงช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร  กรดอะมิโนช่วยเพิ่มขนาด น้ำหนัก และคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว เป็นต้น เพิ่มคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร  กรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติ สีสัน และคุณค่าทางโภชนาการของผลผลิตทางการเกษตร ต้านทานโรคและศัตรูพืช  กรดอะมิโนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของพืช ทำให้พืชต้านทานโรคและศัตรูพืชได้ดีขึ้น กรดอะมิโนที่พืชต้องการเพิ่ม ได้แก่ กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด ได้แก่ ไลซีน เมไทโอนีน ทรีโโอนีน วาลีน ไอโซลูซีน เลวซีน ฟีนิลอะลานีน ทรีโอนีน ฮิสทิดีน แล

พืชสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้น...แล้วดีอย่างไร

รูปภาพ
  พืชสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้น จะช่วยให้พืชสามารถเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานเคมีและผลิตอาหารได้มากขึ้นจากปัจจัยการผลิตเท่าเดิม ประโยชน์ของพืชสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้นมีดังนี้ เพิ่มปริมาณอาหาร พืชเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษย์และสัตว์ การสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้นจะทำให้พืชผลิตอาหารได้มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณอาหารในระบบนิเวศเพิ่มขึ้น ช่วยให้ผู้คนมีอาหารเพียงพอต่อการบริโภค ลดปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ พืชใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสง การสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้นจะทำให้พืชดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศลดลง ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน เพิ่มออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ พืชผลิตออกซิเจนจากการสังเคราะห์แสง การสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้นจะทำให้พืชผลิตออกซิเจนได้มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น ช่วยให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดหายใจได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้นยังอาจมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับมลพิษทางอากาศ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้นอาจส่งผลเสี

โปรตีนเปปไทด์สามารถช่วยลดการใช้ปุ๋ยได้ เนื่องจากเป็นแหล่งของสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช

รูปภาพ
  โปรตีน เปปไทด์ คือ โปรตีนชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยกรดอะมิโน มาเชื่อมต่อกันเป็นสายสั้นๆ ประมาณ 2-30 กรดอะมิโน ซึ่งการเรียงตัวของกรดอะมิโนที่ต่างชนิดกันไป จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เกิดความแตกต่างกันของการออกฤทธิ์ทางชีวภาพในร่างกายของคน สาเหตุที่นำมาใช้กับพืช เนื่องจากเปปไทด์มีคุณสมบัติหลายประการ เช่น กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ป้องกันโรคพืช เพิ่มผลผลิตพืช ปรับปรุงคุณภาพผลผลิตพืช เปปไทด์สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชได้โดยการกระตุ้นการแบ่งเซลล์ การขยายเซลล์ และการเจริญเติบโตของราก เปปไทด์ยังสามารถป้องกันโรคพืชได้โดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคพืช เพิ่มผลผลิตพืชได้โดยการปรับปรุงการสังเคราะห์แสง และการดูดซึมธาตุอาหารของพืช และปรับปรุงคุณภาพผลผลิตพืชได้โดยการปรับปรุงรสชาติ กลิ่น สี และคุณค่าทางโภชนาการของผลผลิตพืช การนำเปปไทด์มาใช้กับพืชมีด้วยกันหลายวิธี เช่น การฉีดพ่น การโรยดิน และการใส่ปุ๋ย เปปไทด์ที่นำมาใช้เป็นสารกระตุ้นพืชส่วนใหญ่เป็นเปปไทด์ที่สังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการ แต่ก็มีเปปไทด์ที่พบในธรรมชาติ เช่น เปปไทด์ที่พบในนมแม่ น้ำนมเหลือง และพืชบางชนิด เปปไทด์ที่นำมาใช้เป็น

รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับเร่งการเติบโตของพืช เหมาะกับเกษตรกรทุกระดับ

รูปภาพ
  รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับพืช เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับพืช มีส่วนประกอบหลักเป็นโปรตีนเปปไทด์จากพืช ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ช่วยให้พืชติดดอกออกผลดก ใบเขียวสวย ทนทานต่อโรคและแมลง สำหรับผักสวนครัวทั้งกินใบและกินผล รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับพืช จะช่วยให้ผักมีใบเขียวสวย หนา อวบอิ่ม แข็งแรงทนทานต่อโรคและแมลง ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพดี เก็บเกี่ยวได้นานขึ้น นอกจากนี้ รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับพืช ยังช่วยเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการของผักอีกด้วย วิธีใช้ รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับพืช : ผสมรอล่า 20 ซีซี กับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นหรือรดน้ำให้ทั่วต้นพืชทุก 7-10 วัน ข้อแนะนำ : ไม่ควรใช้รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับพืช กับพืชที่กำลังออกดอก ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองใช้รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับพืช จากการทดลองใช้รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับพืช กับผักสวนครัวทั้งกินใบและกินผล พบว่าพืชมีใบเขียวสวย หนา อวบอิ่ม แข็งแรงทนทานต่อโรคและแมลง ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพดี เก็บเกี่ยวได้นานขึ้น ดังนี้ ผักคะน้า รอล่า โปรตีนเปปไทด์สำหรับพืช ช่วยให้คะน้ามีใบเขียวเข้ม หนา อวบอิ่ม ก้านแข็ง ไม่หักง่าย ส่งผลให้ผลผ