สารออร์แกนิคโซลูชั่น nawa ทำไมไม่มีเลขทะเบียนที่ขึ้นกับกรมวิชาการเกษตร ?
สารออร์แกนิคโซลูชั่น nawa เป็นสารเร่งเชิงชีวภาพที่มีส่วนผสมของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช แต่ไม่มีคุณสมบัติเป็นปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลง จึงไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
สารเร่งเชิงชีวภาพคือสารที่ผลิตจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืช โดยช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน เพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดิน และช่วยป้องกันโรคพืช
พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 กำหนดให้สารเร่งเชิงชีวภาพเป็นวัตถุอันตรายประเภท 4 ซึ่งหมายถึงวัตถุอันตรายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยหรือสิ่งแวดล้อมได้ แต่มีอันตรายน้อยกว่าวัตถุอันตรายประเภท 1-3 สารเร่งเชิงชีวภาพจึงไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร แต่ผู้ผลิตต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต (GMP) และหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการจำหน่าย (GDP) ที่กำหนดโดยกรมวิชาการเกษตร
สารออร์แกนิคโซลูชั่น nawa เป็นสารเร่งเชิงชีวภาพที่มีส่วนผสมของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืชหลายชนิด เช่น Bacillus subtilis, Bacillus amyloliquefaciens, Bacillus megaterium, Pseudomonas fluorescens, และ Streptomyces griseoviridis
จุลลินทรีย์เหล่านี้ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืช โดยช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน เพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดิน และช่วยป้องกันโรคพืช
สารออร์แกนิคโซลูชั่น nawa ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 และ ISO 14001:2015 จากสถาบันรับรองมาตรฐานสากล (Thailand Quality Assurance Society) ซึ่งแสดงว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค
สารออร์แกนิคโซลูชั่น nawa เป็นสารเร่งเชิงชีวภาพ คือ สารและจุลินทรีย์ที่ให้กับพืช เพื่อ
(1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ธาตุอาหาร
(2) ทนต่อความเครียดจากสภาพแวดล้อม และ
(3) เพิ่มคุณภาพของพืช โดยมิได้คำนึงถึงปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในสารหรือสิ่งที่ให้ ทั้งนี้รวมไปถึง
(1) ผลิตภัณฑ์ที่มีสารหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างผสมกันหรือ
(2) จุลินทรีย์ที่ให้ผลดังกล่าว
สาเหตุที่สารเร่งเชิงชีวภาพ nawa ไม่มีเลขทะเบียนที่ขึ้นกับกรมวิชาการเกษตร เนื่องมาจากสารเร่งเชิงชีวภาพไม่ได้จัดเป็นปุ๋ยตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 เนื่องจากปุ๋ยหมายถึง สารประกอบหรือสิ่งมีชีวิตที่นำมาใช้ในการเสริมธาตุอาหารแก่พืช โดยกรมวิชาการเกษตรได้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาให้เป็นปุ๋ย ดังนี้
- ต้องมีธาตุอาหารพืช อย่างน้อย 1 ธาตุในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของพืช
- ต้องมีปริมาณธาตุอาหารพืชไม่น้อยกว่า 60% ของปริมาณธาตุอาหารทั้งหมดในผลิตภัณฑ์
- ต้องมีองค์ประกอบทางเคมีและคุณสมบัติทางกายภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด
สารเร่งเชิงชีวภาพไม่เป็นไปตามเกณฑ์การพิจารณาให้เป็นปุ๋ย เนื่องจากสารเร่งเชิงชีวภาพของเราไม่มีธาตุอาหารพืช หรือมีธาตุอาหารพืชในปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอเลขทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตร
หากแต่ สารเร่งเชิงชีวภาพ nawa มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช เช่น แบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน แบคทีเรียที่ช่วยในการตรึงไนโตรเจนในอากาศ เชื้อราไมคอร์ไรซา เป็นต้น จุลินทรีย์เหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ต่อพืชในด้านต่างๆ เช่น เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ธาตุอาหาร ทนต่อความเครียดจากสภาพแวดล้อม และเพิ่มคุณภาพของพืช
สำหรับสารเร่งเชิงชีวภาพที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช อาจได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตรในฐานะ "สารปรับปรุงดิน" ซึ่งหมายถึง สารที่นำมาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพของดิน โดยไม่มีหน้าที่หลักในการเสริมธาตุอาหารแก่พืช สารปรับปรุงดินที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตรจะมีเลขทะเบียนที่ขึ้นต้นด้วย "5" เช่น 5-1-2-0, 5-1-2-1 เป็นต้น
ปัจจุบัน สารเร่งเชิงชีวภาพมีบทบาทสำคัญในภาคการเกษตร เนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
สารเร่งเชิงชีวภาพไม่ใช่ปุ๋ยเทวดา ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่มีกลไกการทำงานที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ โดยกลไกการทำงานหลักของสารเร่งเชิงชีวภาพมีดังนี้
- ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของพืช โดยสารเร่งเชิงชีวภาพบางชนิดมีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น ไรโซเบียม ซึ่งสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้กับพืชได้ ทำให้พืชได้รับไนโตรเจน ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต
- ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน โดยสารเร่งเชิงชีวภาพบางชนิดมีจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ซึ่งจะช่วยรากพืชดูดซึมน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น
- ช่วยป้องกันโรคพืช โดยสารเร่งเชิงชีวภาพบางชนิดมีจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างสารต้านเชื้อราหรือแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคพืชได้
- ช่วยควบคุมศัตรูพืช โดยสารเร่งเชิงชีวภาพบางชนิดมีจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างสารพิษต่อศัตรูพืช ทำให้ศัตรูพืชตายหรือหยุดการทำลายพืชได้
นอกจากนี้ สารเร่งเชิงชีวภาพยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยและลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตรได้อีกด้วย
ตัวอย่างกลไกการทำงานของสารเร่งเชิงชีวภาพบางชนิด มีดังนี้
- ไรโซเบียม เป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในรากพืชตระกูลถั่ว สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้กับพืชได้ ทำให้พืชได้รับไนโตรเจน ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต
- แบคทีเรียสังเคราะห์แสง เป็นจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างสารอาหารให้กับพืช เช่น กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ ฮอร์โมนพืช และสารต้านอนุมูลอิสระ
- แบคทีเรียหมักอินทรีย์ เป็นจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ซึ่งจะช่วยรากพืชดูดซึมน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น
- เชื้อราไตรโคเดอร์มา เป็นเชื้อราที่สามารถสร้างสารต้านเชื้อรา ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคพืช
- เชื้อราบาซิลลัส บัลคาเนียส เป็นเชื้อราที่สามารถสร้างสารพิษต่อแมลงศัตรูพืช
สารเร่งเชิงชีวภาพจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเกษตรกรที่ต้องการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน
สารเร่งเชิงชีวภาพ เป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการเกษตรในเชิงเทคโนโลยี แต่ไม่ใช่ในเชิงแนวคิด เพราะแนวคิดการใช้จุลินทรีย์เพื่อส่งเสริมการเติบโตและผลผลิตของพืชมีมานานแล้ว
ตัวอย่างเช่น ปุ๋ยคอกก็เกิดจากกระบวนการย่อยสลายอินทรียวัตถุโดยจุลินทรีย์ เช่นเดียวกับปุ๋ยชีวภาพที่ทำจากพืชหรือสัตว์หมัก เพียงแต่เทคโนโลยีการผลิตสารเร่งเชิงชีวภาพในปัจจุบันมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้มีจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ส่งผลให้สารเร่งเชิงชีวภาพมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในวงการเกษตร
สารเร่งเชิงชีวภาพสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- สารเร่งดิน เป็นสารเร่งที่ทำหน้าที่ปรับปรุงโครงสร้างและคุณภาพของดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และสามารถอุ้มน้ำได้ดี ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
- สารเร่งพืช เป็นสารเร่งที่ทำหน้าที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชโดยตรง โดยการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุอาหาร ต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช และเพิ่มผลผลิต
สารเร่งเชิงชีวภาพมีข้อดีหลายประการ ได้แก่
- เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ
- ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
- ช่วยลดต้นทุนการผลิต
- เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของผลผลิต
ด้วยเหตุนี้ สารเร่งเชิงชีวภาพจึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ ในวงการเกษตรทั่วโลก และคาดว่าจะยังคงเป็นนวัตกรรมสำคัญในวงการเกษตรต่อไปในอนาคต
ดังนั้น สารเร่งเชิงชีวภาพจึงเป็นนวัตกรรมใหม่ในเชิงเทคโนโลยี แต่ไม่ใช่ในเชิงแนวคิด แนวคิดการใช้จุลินทรีย์เพื่อส่งเสริมการเติบโตและผลผลิตของพืชมีมานานแล้ว เพียงแต่เทคโนโลยีการผลิตสารเร่งเชิงชีวภาพในปัจจุบันมีความก้าวหน้ามากขึ้น ส่งผลให้สารเร่งเชิงชีวภาพมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในวงการเกษตร
 
 
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น