เรื่องเผือกๆ
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน และเกษตรกรทุกๆ คน วันนี้ หมอพืช จะมาพูดถึงเรื่องเผือกให้ฟังนะครับ
เผือกเป็นพืชลงหัวมีหัวใต้ดิน ที่เกษตรกรผู้ปลูกต้องการให้มีขนาดใหญ่น้ำหนักผลผลิตมาก เพื่อให้มีมูลค่าต่อไร่สูง
เผือกเป็นพืชที่มีความต้องการปุ๋ยทางดินสูง เพื่อการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมและให้ผลผลิตได้ดี สำหรับการเพาะปลูกเผือกเพื่อให้ได้น้ำหนักหัว และมีขนาดใหญ่นั้น นอกเหนือจากการใส่ปุ๋ยเคมีมีทางดินแล้ว ยังควรต้องเสริมการให้ธาตุอาหารทางใบด้วย ปุ๋ยเคมี 0-0-60 จัดเป็นสูตรที่ใช้แพร่หลายในการสร้างแป้ง และน้ำตาลในช่วงที่เผือกอายุ 5-6 เดือน ฉีดพ่นทุก 7 วัน จนถึงช่วงเก็บผลผลิต (อายุ 8-9 เดือน)
แต่จากการทดลองโดยเกษตรกรหลายๆพื้นที่ ที่ได้ทดลองผลิตภัณฑ์ "บิ๊กไซส์ ตรา nawa" พบว่า เมื่อฉีดพ่น สารออร์แกนิคโซลูชั่น "บิ๊กไซส์ตรา nawa " อัตรา 4 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกๆ 30 วัน ทั้งหมดเพียงแค่ 3-4 ครั้ง เสริมในช่วงที่เผือกมีอายุ 5 เดือน จะสามารถช่วยเพิ่มขนาดหัว เร่งการสร้างแป้งในช่วงท้ายได้ดีกว่าแปลงเผือกที่ไม่มีการฉีดพ่น โดยผลผลิตแปลงที่ฉีดพ่นด้วย "บิ๊กไซส์ตรา nawa" มีน้ำหนัก 4.3 ตัน/ไร่ ขณะแปลงที่ไม่ฉีดพ่นได้น้ำหนัก 2.7 ตัน/ไร่ จะเห็นได้ว่าการใช้ปุ๋ยทางดินทั่วไปอาจยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาของหัว การใช้สารออร์แกนิคโซลูชั่น "บิ๊กไซส์ตรา nawa " ซึ่งมีความเข้มข้นของโปรตีนวิตามิน เกลือแร่สูง ฉีดพ่นทางใบเพิ่มเติมอีกทาง จะช่วยเพิ่มการเคลื่อนย้ายสารอาหารไปสร้างแป้ง และน้ำตาลที่หัวเผือกได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น
เผือกหอม เป็นพืชอาหารที่มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มีวิตามินหรืออื่นๆ ที่เสริมสร้างให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง มีอาหารรสอร่อยจากเผือกหอม เช่น ข้าวต้มเผือกกระดูกหมูอ่อนทรงเครื่อง หรือเผือกกวน เป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกที่นำรายได้เข้าประเทศปีละหลายล้านบาท และส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพื่อการยังชีพที่มั่นคง
เผือกหอมเป็นพืชอาหารคู่ครัวไทยที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ทำได้ทั้งอาหารคาวและหวาน เช่น ข้าวต้มเผือกทรงเครื่อง หรือขนมบัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน ในเชิงการค้าเผือกหอมเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่เกษตรกรจะปลูกและขายเพื่อก่อให้มีรายได้เงินแสนบาทในแต่ละปี
เผือกหอม เป็นพืชล้มลุก อายุยืน ลำต้นตรง มีหัวใต้ดินสะสมอาหาร ก้านดอกอวบใหญ่สั้นกว่าก้านใบ ดอกตัวเมียและตัวผู้มีขนาดเล็กอยู่แยกกันบนแกนช่อ ดอกตัวเมียสีเขียวอยู่โคน ส่วนดอกตัวผู้สีขาวอยู่ปลาย เผือก แบ่งได้ 4 พันธุ์ คือ
เผือกหอม เป็นเผือกชนิดหัวใหญ่ กาบใบใหญ่ สีเขียว มีหัวขนาดเล็กติดอยู่กับหัวใหญ่เล็กน้อย เมื่อต้มจะมีกลิ่นหอม
เผือกเหลือง หัวเป็นสีเหลือง หัวมีขนาดย่อมลงมา
เผือกไม้ หรือ เผือกไหหลำ หัวมีขนาดเล็ก และ
เผือกตาแดง กาบใบและเส้นใบสีแดง ตาของหัวเผือกสีแดงเข้ม มีหัวขนาดเล็กติดอยู่รอบหัวใหญ่จำนวนมาก
ประเทศไทยสามารถปลูกเผือกได้ทั่วทุกภาค และทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี ซึ่งถ้าเป็นแหล่งที่มีน้ำชลประทานดีอยู่แล้ว เกษตรกรจะปลูกเผือกเมื่อไรก็ได้ แต่โดยทั่วไปเกษตรกรนิยมปลูกเผือกในช่วงต้นฤดูฝนในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน และฤดูแล้งช่วงหลังการทำนาเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ในช่วงฤดูฝนจะปลูกมากในสภาพพื้นที่ดอน อาศัยน้ำฝน มีบางท้องที่ปลูกในสภาพพื้นที่ลุ่ม หรือที่นา ฤดูแล้ง ปลูกหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว หากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วภายในเดือนธันวาคม จะปลูกผักก่อนการปลูกเผือก ในเขตชลประทานจะสามารถปลูกเผือกได้ตลอดทั้งปีครับ เผือกเป็นพืชที่มีความต้องการธาตุหารหารค้อนข้างสูง เพื่อการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมและให้ผลผลิตได้ดี ดังนั้นก็ต้องมีผู้ช่วย
วันนี้ ตาพงษ์ ก็ขอแนะนำตัวช่วยของเกษตรกรผู้ปลูกเผือกนะครับ ซึ่งก็คือคู่นี่นี้เอง
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม : nawasiam.com
วันนี้ หมอพืช แนะนำแค่นี้ก่อนนะครับ วันหน้าพบกันใหม่ สวัสดีครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น