เอแพล้น เปลี่ยนรากให้เป็นหัว ทำให้พืชหัวลงหัวดี มีหัวดก ได้อย่างไร
สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น เปลี่ยนรากให้เป็นหัว ทำให้พืชหัวลงหัวดี มีหัวดก ได้ดังนี้
- ช่วยกระตุ้นการงอกของราก สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น มีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของราก เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ช่วยให้รากเจริญเติบโตได้ดี แข็งแรง และยาวขึ้น
- กระตุ้นการสะสมแป้งและน้ำตาล สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น มีกรดอินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการสะสมแป้งและน้ำตาลในราก ทำให้รากมีขนาดใหญ่ขึ้นและกลายเป็นหัว
- ช่วยป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น มีสารที่ช่วยป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช ทำให้พืชเจริญเติบโตได้โดยไม่ติดโรคและแมลงศัตรูพืช
โดยสรุปแล้ว สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น ช่วยให้พืชหัวเจริญเติบโตได้ดี แข็งแรง และสะสมแป้งและน้ำตาลในรากมากขึ้น ทำให้รากมีขนาดใหญ่ขึ้นและกลายเป็นหัว ส่งผลให้พืชหัวลงหัวดี มีหัวดก และมีคุณภาพดี
นอกจากนี้ สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน ทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี รากพืชจึงเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
วิธีใช้สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น ในการช่วยให้พืชหัวลงหัวดี มีหัวดก สามารถทำได้ดังนี้
- ผสมสารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น กับน้ำในอัตราส่วน 1:100 ฉีดพ่นลงบนดินบริเวณรอบๆ ต้นพืช
- รดน้ำสารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น ลงบนดินบริเวณรอบๆ ต้นพืช
- ใช้สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น ผสมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก นำไปหว่านรอบๆ ต้นพืช
ควรใช้สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น เป็นประจำทุกสัปดาห์ จะช่วยให้พืชหัวเจริญเติบโตได้ดี แข็งแรง และลงหัวดี มีหัวดก
สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น ใช้นิดเดียวก็ได้ผล โดยปกติแล้วจะใช้ในอัตราส่วน 1:1000 หรือ 1 กรัม : 1 ลิตรของน้ำ แต่ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชและวัตถุประสงค์ในการใช้ด้วย
สำหรับพืชผักทั่วไป สามารถใช้สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น เพียง 1 กรัม ผสมกับน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นที่ใบหรือลำต้นของพืช สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี แข็งแรง ทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
สำหรับพืชที่ต้องการเร่งการเจริญเติบโตเป็นพิเศษ เช่น พืชอวบน้ำ พืชตระกูลถั่ว พืชตระกูลแตง สามารถใช้สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น อัตราส่วน 1:500 หรือ 1 กรัม : 500 มิลลิลิตรของน้ำ ฉีดพ่นที่ใบหรือลำต้นของพืช สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน เพิ่มธาตุอาหารให้กับพืช และช่วยป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช ดังนั้น จึงสามารถใช้ในปริมาณน้อยก็เห็นผลได้
อย่างไรก็ตาม การใช้สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น มากเกินไปอาจส่งผลเสียได้เช่นกัน เช่น เกิดสารพิษตกค้าง ดังนั้น จึงควรใช้ตามคำแนะนำที่ระบุบนฉลากอย่างเคร่งครัด
การใช้สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น
- ฉีดพ่นที่ใบหรือลำต้นของพืช สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี แข็งแรง ทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
- รดใต้โคนต้นพืช สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้กับพืช
- ผสมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เพื่อช่วยย่อยสลายและเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ย
ข้อควรระวังในการใช้สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น
- ควรใช้ตามคำแนะนำที่ระบุบนฉลากอย่างเคร่งครัด
- ไม่ควรใช้กับพืชที่เป็นโรคหรือแมลงศัตรูพืชระบาด
- ไม่ควรใช้กับพืชในร่ม
- ควรเก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
สารเร่งเชิงชีวภาพ เอแพล้น ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากใช้ไม่ถูกวิธี
- ห้ามสัมผัสกับผิวโดยตรง หากสัมผัสควรล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที
- ห้ามสูดดม หากสูดดมเข้าไปควรนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีสารเคมีและไปพบแพทย์ทันที
- ห้ามรับประทาน หากรับประทานเข้าไปควรรีบไปพบแพทย์ทันที
เอแพล้น สารเร่งเชิงชีวภาพ เปลี่ยนรากให้เป็นหัว ทำให้พืชหัวลงหัวดี มีหัวดก ได้
- ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของราก เอแพล้น ประกอบด้วยสารอินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของราก เช่น กรดอินทรีย์ วิตามิน ฮอร์โมนพืช เป็นต้น รากที่เจริญเติบโตได้ดี จะทำหน้าที่ดูดซึมอาหารและน้ำจากดินได้มากขึ้น ทำให้พืชได้รับสารอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตได้ดี
- ช่วยเพิ่มการสะสมแป้งในหัว เอแพล้น ประกอบด้วยสารอินทรีย์ที่ช่วยเพิ่มการสะสมแป้งในหัว เช่น กรดอินทรีย์ ฮอร์โมนพืช เป็นต้น แป้งเป็นสารอาหารหลักที่พืชหัวใช้ในการสะสมอาหาร ทำให้พืชมีหัวใหญ่และดก
เอแพล้น สารเร่งเชิงชีวภาพ ช่วยให้พืชหัวเจริญเติบโตได้ดีและลงหัวได้ดี โดยช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของราก เพิ่มการสะสมแป้งในหัว
เอแพล้น ยังมีส่วนช่วยให้พืชมีความแข็งแรง ต้านทานความเครียดจากสภาพแวดล้อม เช่น สภาพอากาศที่ร้อนจัด หนาวจัด หรือน้ำท่วม เป็นต้น ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตได้ดีและลงหัวได้ดี
วิธีใช้ เอแพล้น สารเร่งเชิงชีวภาพ
- ใช้ฉีดพ่นทางใบ อัตรา 4-6 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 7-10 วัน
- ใช้รดโคน อัตรา 6 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร รดโคนทุก 7-10 วัน
พืชหัวที่สามารถใช้ เอแพล้น สารเร่งเชิงชีวภาพ ได้ เช่น มันฝรั่ง มันเทศ แครอท หัวหอม หอมหัวใหญ่ เป็นต้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น